เครื่องหมายที่เป็นเหมือนเลขแปด (8) ที่นอนตะแคงข้างนั้น สำหรับผู้ที่เคยเรียนวิชาคณิตศาสตร์จะรู้จักกันอย่างดีว่าคือสัญลักษณ์ที่เรียกกันว่า อินฟินิตี้ (infinity) ที่หมายถึงค่าที่เป็นอนันต์ เช่นตัวเลขที่นับไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้จะสิ้นสุดอยู่ตรงไหน หรือค่าที่นับถอยหลังลดลงไปเรื่อยๆ แบบไม่รู้ค่าสิ้นสุดอยู่ตรงไหน
เช่นในสมการนี้ที่มีค่าอินฟินิตี้อยู่ด้วยตามข้่งบนนี้ ก็สามารถอ่านได้ว่าเมื่อเอา x ยกกำลัง n โดย n ที่มีค่าเท่าเริ่มต้นตั้งแต่ 0 บวกกันไปเรื่อยๆแบบไม่รู้จบ จะได้ค่าเท่ากับ 1/(1-x)
นั่น…คณิตศาสตร์เค้าว่าอย่างนี้
ซึ่งผู้มีมันสมองอย่างเราๆอ่านแล้วก็ชวนปวดหัวอยู่ไม่น้อย(ฮา)
แต่อินฟินิตี้ ยังมีความหมายด้านอื่นๆอีกนะครับ ยกตัวอย่างเช่น …
- หมายถึงความรักที่เป็นนิรันดร์
- หมายถึงความหวังที่ไม่สิ้นสุด
- หมายถึงความภักดีที่มอบให้อย่างไม่เสื่อมคลาย
- หมายถึงการคงอยู่ตลอดไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
- หมายถึงมิตรภาพที่ไม่มีวันสิ้นสุด
- และด้วยความเป็นคู่กันของวงสองวงของตัวอินฟินิตี้ จึงหมายถึงการอยู่คู่กันของคู่รักอย่างเป็นนิรันดร์ เป็นต้นครับ
จากความหมายที่เป็นนิรันดร์เช่นนี้ ทำให้ตัวอินฟินิตี้ถูกนำไปใช้เป็นของขวัญที่ดีสำหรับการมอบให้คู่รัก เพื่อน หรือผู้ที่นับถือ ซึ่งก็เพื่อเป็นการแสดงถึงการคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายตามความหมายต่างๆตามข้างต้นครับ
วกกลับมาในทางคณิตศาสตร์อีกที จอห์น วอลลิส (John Wallis) ได้นำสัญลักษณ์นี้มาใช้แทนค่าที่เป็นอนันต์ เช่นตัวเลขที่นับไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้จะสิ้นสุดอยู่ตรงไหน ซึ่งหากจะถามว่าแล้วการกำเนิดค่าอินฟินิตี้ในทางคณิตศาสตร์นี่มีความสำคัญมากมายขนาดไหน ก็ตอบยากมากๆครับ แต่เอาเป็นว่าจอห์น วอลลิส ได้นำแนวคิดของค่าอินฟินิตี้มาแก้ปัญหาทางเรขาคณิตโดยใช้วิชาคณิตศาสตร์ และในที่สุดก็เป็นพื้นฐานทำให้เราๆ ได้ก้าวเข้าสู่ยุดของแคลคูลัสอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เลยครับ
เมื่อย้อนกลับไปในอดีตที่ไกลกว่านั้น อินฟินิตี้นได้มีอยู่ก่อนหน้านั้นมานานโขแล้วแต่จะไม่ใช่เลขแปดแบบตะแคงๆ แบบปัจจุบันนะครับ ในยุคโบราณนั้นอินฟินิตี้จะเป็นวงกลมๆ ที่เรียกกันว่า อูโรโบรอส (Ouroboros)
ว่ากันว่าสัญลักษณ์อูโรโบรอสหรือที่เรียกกันว่างูกินหางนั้น น่าจะเป็นสัญลักษณ์แรกๆที่นำมาสื่อถึงความเป็นอนันต์ครับ
เชื่อกันว่าอูโรโบรอส มีต้นกำเนิดจากอียิปต์โบราณเมื่อประมาณกว่า 3,600 ปีมาแล้ว แต่บ้างก็ว่าอูโรโบรอสน่าจะได้รับแนวคิดมาจากสัญลักษณ์หยินหยางของจีน
By Djehouty – Own work, CC BY-SA 4.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=57397072
ภาพอูโรโบรอสที่เป็นวงกลมรูปงูกันกินหางตัวเอง ถูกพบครั้งแรกที่สุสานตุตันคาเมน (Tutankhamun) โดยเชื่อกันว่าเป็นการสื่อถึงการเกิดใหม่หรือความเป็นนิรันดร์นั่นเอง
อูโรโบรอส หรืองูกินหางนี้ปรากฏอยู่ทั่วโลกเป็นเวลาต่อเนื่องนับพันปี ทั้งที่จีน อินเดีย แต่อาจเปลี่ยนรูปร่างจากงูทั่วไป เป็นงูมีปีก หรือเป็นมังกรหรือเป็นอะไรอีกหลายๆอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อเกี่ยวกับอูโรโบรอสนี้ ไม่ใช่เป็นแค่บางกลุ่มหรือบางอารยธรรมเท่านั้น แต่เป็นความเชื่อที่กระจายอยู่ทุกมุมโลกและสืบเนื่องต่อๆกันนับพันๆปีเลยครับ
ว่ากันว่า รูปงูกินหางของตัวเองนี้คือปรัชญาที่ต้องการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างจุดเริ่มต้นและจุดจบที่สิ่งหนึ่งจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากอีกสิ่งหนึ่ง
มีความเชื่อที่เล่ากันอีกว่า ในวิชาเคมีที่เกี่ยวข้องกับเคมีของสิ่งมีชีวิต หรืออินทรีย์เคมี (Organic Chemistry) ซึ่งนักเคมีชาวเยอรมัน ที่ชื่อว่าAugust Kekule von Stradonitz ที่ได้ค้นพบการเชื่อมต่อกันของอะตอมของคาร์บอนที่เป็นวงกลม หรือที่เรียกกันว่าอะโรมาติกนั้น ได้รับแรงบันดานใจจากอูโรโบรอส ซึ่งแสดงให้เห็นถึงว่าอูโรโบรอสนั้นมีอยู่ และเป็นพื้นฐานในทุกสรรพสิ่งครับ (นั่น ว่าไปขนาดนั้นเลยครับ)
มาถึงตรงนี้ หลายท่านอาจสงสัยว่าการค้นพบโครงสร้างแบบอะโรมาติกในวิชาเคมีนี้ มีความสำคัญขนาดไหนกันเชียว ก็ใคร่เล่าให้ฟังสักนิดนึงว่า โครงสร้างแบบอะโรมาติก หรือเบนซีนริงค์ (benzene ring) หรือวงแหวนหกเหลี่ยมของคาร์บอนนั้น ก่อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมทางเคมีอย่างมากมายจนถึงทุกวันนี้เลยครับ
ปัจจุบันนี้ เราๆท่านๆอาจพบเจออูโรโบรอสในเทพนิยายของชาวตะวันตก ในนิยายกำลังภายในของจีน หรือแม้แต่ในอนิเมะของญี่ปุ่น ซึ่งมีความเชื่อที่แตกต่างกันไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้างก็ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสมดุลของธรรมชาติ ที่ต้องพึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน บ้างก็ว่าเป็นการอธิบายถึงการเริ่มต้นและการสิ้นสุดที่ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง บ้างก็ว่าเป็นการอธิบายถึงความเป็นนิรันดร์
แต่อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อถึงศาสตร์ลึกลับที่เชื่อว่าอูโรโบรอสมีความหมายอีกนัยหนึ่งในการทำให้มีโชคและป้องกันภัยอันตราย จึงมีการสักรอยสักรูปอูโรโบรอสลงบนร่างกาย หรือการสวมใส่สร้อย จี้ หรือกำไลข้อมือรูปอูโรโบรอส โดยเชื่อว่าจะทำให้มีโชคและป้องกันอันตรายจากสิ่งชั่วร้าย ซึ่งก็เพราะเชื่อว่าอูโรโบรอสมีพลังอำนาจที่อยู่เหนือธรรมชาตินั่นเอง
www.webdesignlayer.com
ด้วยความที่อินฟินิตี้ มีความหมายที่ลึกซึ้งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันเช่นนี้ Leather De Lim จึงได้เลือกสัญลักษณ์อินฟินิตี้ มาเป็นหนึ่งในตัวห้อย (Charm) ให้ท่านๆเลือกใช้เป็นตัวห้อยเพื่อนำไปประดับกับพวงกุญแจ , ซองปากกา , Stethoscope tag ฯลฯ
แล้ววันหลังจะมาเล่าเรื่องราวของตัวห้อยอื่นๆ ให้ฟังอีกนะครับ…